วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ความจริงทึ่ต้องรู้

ความสุขที่สร้างเองได้
ความสุขทุกนาที

อ่านแล้วทำตาม ก็มีความสุขได้ทุกนาที

บุญเสริม บุญเจริญผล

สวนสุภาษิตและความรู้ 
084 6956990







ความสุขทุกนาที

          ใครๆก็อยากมีความสุข และ ความสุขก็เป็นเรื่องที่หาง่ายอยู่ใกล้ตัว ไม่ต้องไปแสวงหาที่อื่น   แต่น่าเสียดายที่ธรรมชาติมันปิดบังเราไว้  ทำให้เกือบทุกคนมองไม่เห็น  วิ่งไปหาความสุขไกลตัว แต่ก็ไม่ได้พบความสุขจริงๆเลย
          ที่เราหาความสุขไม่พบ พบแต่ความทุกข์ ก็เพราะเรามีศัตรูอยู่ภายใน  คอยปิดบังใจเราไว้ ทำให้ดับความทุกข์ไม่ได้   ฉะนั้นขอให้เรารู้จักศัตรูที่ทำให้เรามีความทุกข์  โดยทำความเข้าใจเรื่องกลไกทางจิตใจของเราเสียก่อน  เมื่อเข้าใจกลไกทางจิตใจแล้ว ก็เข้าใจวิธีจัดการกำจัดความทุกข์ออกไป  ส่วนใครจะรักษาศัตรูความสุขเอาไว้คู่ชีวิต ก็ตามใจ เป็นกรรมของคนนั้นที่จะต้องลงนรกทั้งเป็น
                                       
สุภาษิตโบราณแทบทุกชาติทุกภาษา กล่าวว่า ศัตรูที่น่ากลัวที่สุด คือ คนที่อยู่ใกล้ตัวนั่นเอง หมายความว่า หากเขาคิคไม่ดีกับเรา เขาจะทำลายเราได้มากมาย เพราะว่าเราไว้ใจเขามาก และ เขารู้เรื่องของเราดีกว่าใครๆที่อยู่ไกลตัว    ผมขอเติมลงไปด้วยว่า ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดยิ่งกว่านั้น อยู่ในใจของเราเอง  แต่โชคดีสำหรับเราที่ศัตรูนี้กำจัดออกง่ายมาก  เพียงแต่เราเข้าใจวิธีการทำงานของมัน และ ตั้งใจกำจัดให้เด็ดขาดเสียที

กลไกทางจิตใจของมนุษย์
ความคิดหรือจิตใจเรา มีองค์ประกอบอยู่สี่อย่างทำงานร่วมกันเป็นทีมที่แข็งแรงมีประสิทธิภาพมาก  เพื่อให้เข้าใจง่าย ขอสมมุติให้องค์ประกอบทั้งสี่เป็นคนสี่คนอยู่ในใจเรา  ได้แก่
·       นายอารมณ์ ชอบ-ชัง หรือ รู้สึกสุข-รู้สึกทุกข์  (ศาสนาพุทธเรียกว่า เวทนา)
·       นายจำ   (ศาสนาพุทธเรียกว่า สัญญา)
·       นายแต่งเรื่อง  (ศาสนาพุทธเรียกว่า สังขาร)
·       นายรู้ (ศาสนาพุทธเรียกว่า วิญญาณ)

1. นายอารมณ์ชอบ-ชัง หรือ รู้สึกสุข-รู้สึกทุกข์  ชื่อก็บอกอยู่แล้ว 
- เขามีหน้าที่รู้สึกว่า มีความสุข คือ ชอบใจ 
- รู้สึกว่า มีความทุกข์ คือ ชัง ไม่ชอบ
- บางทีก็เฉยๆ ไม่มีอารมณ์ ไม่ชอบไม่ชัง
2. นายจำ  วันๆได้พบเห็นอะไร ได้รู้สึกอย่างไร ก็จำเอาไว้  บางทีก็จำไม่ได้ เพราะไม่ได้สนใจ  ข้อมูลความรู้สึกนึกคิดและเรื่องที่รับรู้มาจะถูกบันทึกจำไว้มากตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน
3. นายแต่งเรื่อง  เขาทำหน้าที่แต่งเรื่องอยู่เกือบตลอดเวลา ทั้งเวลาเราตื่นและหลับ  นายแต่งเรื่องขยันมากจริงๆ  ไม่ค่อยได้พักผ่อน  จะพักได้ก็ตอนเจ้าของจิตใจตื่นตัวรู้สึกตัวขึ้นมารับหน้าที่ต่อ ไม่ใจลอย  เขาก็หายไปสักเดี๋ยวเดียว  พอเจ้าของใจเผลอ เขาก็แต่งเรื่องอีก  เหมือนลูกๆแอบเล่นเกมตอนแม่เผลอ อย่างนั้นเลย   ลักษณะเรื่องที่แต่งมีทั้งเรื่องจริง เรื่องโกหกพกลม เรื่องเศร้าน้ำตาไหล เรื่องขำขันหัวเราะได้สนุก  เรื่องสนุกชื่นใจ   นายแต่งเรื่องคนนี้เป็นนักโกหกและประสงค์ร้ายอย่างโหดเหี้ยมต่อเจ้าของจิตใจ  ถ้าหลุดออกมาจากมันได้  อย่าให้มันเป็นนาย เราก็จะลดความทุกข์ทางใจลงได้  ความทุกข์ลดได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับ เราหนีมันออกมาได้ไกลแค่ไหน  ถ้าหนีได้ไกล เราก็มีความทุกข์น้อย  ถ้าหนีได้พ้นเลย จนมันไม่กล้าแต่งเรื่องอีกเลย เราก็หมดทุกข์
            4. นายรับรู้   นายรับรู้นี้มีความสามารถสูงมาก ถ้าเขาออกมาปฏิบัติหน้าที่  ก็มีประโยชน์ต่อชีวิตมาก     แต่ส่วนมาก การรับรู้นี้ ก็รับรู้เฉยๆ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ  มิหนำซ้ำยังถูกนายแต่งเรื่องลากเข้าไปเป็นบริวาร ร่วมวงชิมรสชาติเรื่องที่แต่งขึ้นมาอีกด้วย   เหมือนคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุมีโจรลักของอยู่ นายรับรู้นี้ก็ยืนดู ก็รู้ว่าเขาขโมยของกัน  เท่านั้นยังไม่พอ ยังเข้าไปร่วมวงช่วยเขาขนของให้โจรเสียอีก   

กลไกการทำงานของจิตใจ
นายแต่งเรื่องเป็นผู้มีบทบาทที่สุดของการทำงานของจิตใจ   เขาแทบจะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้เลย  เขาลากนายจำเข้ามาร่วมงาน ให้คายข้อมูลออกมามาเป็นข้อมูลวัตถุดิบเพื่อใช้แต่งเรื่อง  นักแต่งเรื่องต้องมีข้อมูลอยู่บ้าง  ข้อมูลนิดเดียว ก็แต่งเรื่องโกหกได้มากมาย
เพื่อให้เรื่องมีรสชาติน้ำตาไหลหรือโกรธเกรี้ยวหรือสดชื่น  นายแต่งเรื่องก็ไปลากเอานายอารมณ์มาใส่อารมณ์เข้าไปในเรื่องที่เขาแต่งขึ้นมาให้สนุกเพิ่มขึ้นอีก  เหมือนใส่พริก-น้ำปลา-ข่า-ตะไคร้-ผงชูรส  ให้มีรสชาติมันอารมณ์      นายอารมณ์ช่วยใส่อารมณ์เข้าไปในเรื่องที่แต่ง
เพื่อไม่ให้มีใครขัดขวาง นายแต่งเรื่องก็ไปลากนายรับรู้เข้ามาร่วมวงด้วย  นายรับรู้ผู้โง่เขลา ก็ร่วมฟังร่วมรู้ร่วมแสดงไปกับเรื่องที่แต่ง เหมือนคนที่ติดนิยาย  ลืมตัวไม่ได้คิดว่า เรื่องที่นำเสนอจริงหรือไม่จริง 
เป็นอันว่า นายแต่งเรื่องได้ลากเอาคนบ้านใกล้เรือนเคียงทั้งสาม เข้ามาร่วมทำงานเป็นบริวารหมดแล้ว    เราผู้เป็นเจ้าของชีวิตจึงถูกจิตใจทั้งสี่ส่วนคิดกบฏ เป็นศัตรู  โดยไม่รู้ตัว
เราต้องทนทุกข์อยู่ภายใต้อำนาจของนายแต่งเรื่องพร้อมทั้งผู้ร่วมกบฏทั้งสามคน แต่ละขณะ  มันจะบังคับให้เราเสพเรื่องอะไร รสชาติเป็นอย่างไร  โกหกพกลม หลอกลวงอย่างไร ก็ต้องเห็นดีเห็นงามตามไปด้วยเป็นหนึ่งเดียวกับพวกมันไป  เราไม่รู้ว่า จิตที่อาศัยเราอยู่นี้ เป็นกบฏไปหมดแล้ว  มนุษย์ทั้งหลายเกือบทุกคน ไม่รู้เลยว่าเราอยู่กับจิตที่เป็นกบฏ  เราปล่อยให้มันลากจูงจิตใจที่ดีของเราไปร่วมเป็นกบฏได้ ซ้ำร้ายบางครั้งยังลากให้เราตัดสินใจทำเรื่องโง่ๆที่เป็นภัยกับตัวเอง  ทั้งที่โดยแท้จริงแล้ว เราไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นเลย
ขอกล่าวอีกครั้งว่า ที่ใจคิดฟุ้งซ่านสารพัดเรื่องอยู่นี้ เป็นความคิดของพวกจิตที่เป็นกบฏต่อชีวิตเรา   เราเองไม่ได้คิดอย่างนั้น 

จะปล่อยให้เหตุการณ์เป็นอย่างนี้ หรือ จะจัดการกับมันอย่างเด็ดขาด
ประเด็นอยู่ที่ว่า เราอยากปลดปล่อยใจที่แท้ของเราออกจากพวกจิตกบฏนี้หรือไม่  ถ้าบอกว่า ไม่เป็นไร เป็นธรรมชาติสร้างมาอย่างนั้น  ถ้าคิดอย่างนี้ก็แล้วไป   
แต่ถ้าอยากปลดปล่อยใจที่แท้ออกมาให้เป็นอิสระ  พ้นจากอำนาจของพวกโกหกพกลมสร้างเรื่องให้เราเป็นทุกข์ แบกทุกข์ และ ไร้สาระ ก็ต้องจัดการกับพวกกบฏอย่างเด็ดขาด แล้วมันจะไม่กล้าก่อการร้ายกับเราอีก หรือกล้าทำก็ไม่รุนแรงเท่าเดิม                                                      

          วิธีการจัดการกับพวกจิตกบฏ   ไม่ยากเลย  ถ้าคิดจะทำให้จิตใจแท้เราเป็นอิสระออกมา  ให้ทำดังนี้
·       ให้เข้าใจอย่างถูกต้องว่า ที่เราคิดฟุ้งซ่านเหลวไหล-เศร้าใจ-ดีใจ-กังวลใจ-แค้นใจอยู่นี้  จิตที่แท้ของเราเองไม่ได้คิด  เป็นผลงานของจิตส่วนที่เป็นนักแต่งเรื่องโกหกดังที่กล่าวแล้ว มันคิดปรุงแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกให้เราเชื่อมัน    ข้อนี้ต้องเข้าใจยอมรับอย่างไม่มีอะไรสงสัย  ถ้าสงสัยก็จงเฝ้าดูการทำงานของกบฏสามคนนี้ให้เข้าใจจริงๆว่ามันหลอกเรา  เราไม่ได้เป็นผู้คิด
·       ตัดสินใจให้แน่วแน่ว่า ต่อไปนี้จะทำชีวิตเราให้เป็นอิสระ ปลดปล่อยจิตใจที่แท้ออกจากความรู้สึกนึกคิดที่จอมปลอมหลอกหลอนเราอยู่ จงตัดสินใจให้เด็ดขาด  มิฉะนั้นจะไม่เกิดผลลัพธ์ขึ้นได้เลย
·       นับแต่นี้เป็นต้นไป  คอยระวังความคิดจอมปลอมที่เกิดขึ้น  เมื่อมันเกิดขึ้น ให้รู้ทันทีว่า มันมาแล้ว  สลัดมันออกทิ้งไป  ดึงจิตใจที่แท้จริงมาสู่ความรู้ตัวเต็ม เดี๋ยวนี้และที่นี่   ทันทีที่จิตแท้ของเรารู้ตัวเต็ม  พวกกบฏทั้งสาม ก็หายหัวไป เหมือนผีที่หลอกเรา พอเราตั้งสติได้ ผีก็ไม่มีแล้ว  ถ้าทำใจลอยๆ ผีมันก็มาหลอกเรา    ทันทีที่สลัดมันออกไป ให้ร้องดังๆในใจว่า ขยะ ไม่เอา หรือ ปีศาจมาแล้ว ไม่เอา แล้วดึงใจให้รู้ตัวเต็มที่  ใจจะโล่งโปร่งสบาย ไม่มีความคิดปรุงแต่งบ้าๆบอๆ   มันหมดไปเลยทันที  ถ้าไม่หมดทันที ยังมีเหลือหนืดๆอยู่  ก็ตั้งความรู้ตัวไว้ให้ชัด  จิตที่หลอนก็ต้องหมดไป  เหลืออยู่ไม่ได้
 
·       จงทำอย่างนี้ตลอดเวลาทุกวินาที  จิตใจที่แท้จริงของเราจะเป็นอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ   ความคิดปรุงแต่งหลอกหลอนให้เราทุกข์ที่มันแอบแฝงอยู่ในชีวิตเรา  จะหดหายไปเรื่อยๆ 
·       จงแน่วแน่ที่จะกำจัดสลัดความคิดจอมปลอมเจ้าเล่ห์นี้ออกไป   ความแน่วแน่จะกลายเป็นนิสัย แล้วจิตใจที่แท้จริงของเราก็เป็นอิสระมากขึ้นๆ  จนถึงหลุดสมบูรณ์ออกจากจิตที่กบฏต่อเรานี้

จิตใจที่มีความสุขได้เกิดขึ้นแล้วอย่างง่ายดาย
จิตใจที่แท้ของเราเมื่อหลุดออกจากความคิดปรุงแต่ง ก็เป็นจิตใจที่เป็นอิสระ เป็นจิตใจที่มีความสุขมาก  ดีกว่ามีทรัพย์เป็นแสนๆล้านบาท   เราจะดีใจที่รู้จักปลดปล่อยจิตใจที่แท้จริงของเราออกมาจากกองขยะ  ดีใจว่าเราทำได้แล้ว  ทำเป็นแล้ว  เหมือนกับที่เราดีใจเมื่อว่ายน้ำเป็นแล้ว
ทำเดี๋ยวนี้  ก็ได้ผลเดี๋ยวนี้ แม้ไม่มากนัก  และจะทำได้ผลมากขึ้นๆ เหมือนเราว่ายน้ำเก่งขึ้นๆเรื่อยๆ   เราก็มั่นใจยิ่งขึ้น   อย่ามัวรอชาติหน้าชาติไหนๆอยู่เลย   ทำไมต้องรอพระพุทธเจ้าในอนาคตให้เสียเวลาไปทำไม  แล้วเดี๋ยวนี้ชาตินี้ จะมัวเกียจคร้านอยู่หรือ?   ถ้าคิดผิด จงคิดใหม่เถิดนะ

ไม่มีความสุขใด เท่าความสุขที่เกิดจากจิตใจที่สงบ   ไม่เชื่อก็ขอท้าให้ลองทำดู

ที่กล่าวมานี้ ไม่มีอะไรใหม่   เป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าสอนพวกเรามาแล้ว แต่เราไม่ใส่ใจกันเลย

คุณค่าของการฝึกจิตให้พ้นจากปีศาจกบฏทางจิต
การฝึกฝนให้จิตหลุดออกมาจากวงจรปีศาจกบฏ  ทำให้ได้รับผลดีหลายประการ คือ
·       มีความสุขใจ  จิตใจโปร่งโล่งสบาย ไร้ขยะความคิด
·       สุขภาพดีขึ้น  สุขภาพขึ้นอยู่กับจิตใจ
·       บุคลิกดี  หน้าสดใส หน้าไม่เหม็นบูดอมทุกข์
·       เป็นที่เกรงใจของคนทั้งหลาย (แม้ไม่ทุกคน)
·       รอดพ้นจากการตัดสินใจผิดพลาด
·       ทุเลาจากโชคร้าย
·       มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นในชีวิตเรื่อยๆ
·       มีความภูมิใจ มั่นใจในชีวิต
·       มีความรู้ทางวิชาการลึกซึ้งยิ่งกว่าธรรมดา
·       คนใกล้ชิดพลอยมีความสุข
·       มีนิสัยเสียสละ ชอบช่วยเหลือคนทั้งหลาย
·       เป็นการเตรียมชีวิตหน้าที่ดีที่สุด

ความรู้เพิ่มเติม
          ตามคำสอนของศาสนาพุทธ  ชีวิตคนประกอบด้วยองค์ประกอบใหญ่ๆห้าส่วน เรียกว่า ขันธ์ห้า คือ
·       ร่างกาย  เรียกว่า รูป
·       จิตใจส่วนที่รู้สึกชอบ-ชัง  เรียกว่า เวทนา
·       จิตใจส่วนที่จดจำ เรียกว่า สัญญา
·       จิตใจส่วนที่แต่งเรื่องโกหกฟุ้งซ่าน  เรียกว่า สังขาร (ในที่นี้  สังขารไม่ได้แปลว่า ร่างกาย   รูป คือ ร่างกาย)
·       จิตใจส่วนที่รับรู้  เป็นจิตใจที่แท้จริงของเรา เรียกว่า วิญญาณ

โปรดทำความเข้าใจกับคำศัพท์เหล่านี้ด้วย  อย่าแปลเอาเองตามความเคยชินที่ได้ยินมาผิดๆ

ขออวยพรให้ท่านสำเร็จในการสร้างความสุขทุกนาที


                                                    ............................

เรียนรู้เรื่องของจิตวิญญาณ ฟรี...  ทั้งที่ กทม. และ ต่างจังหวัด   ติดต่อ riverside1001@gmail.com  
โทร 084 6956990


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น