วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เอาความสุขมาให้

70 ข้อคิด เนรมิตความสุข
ความสุขทุกนาที
สมาธิพุทธ

ดร. บุญเสริม  บุญเจริญผล

 

 

 

 

 

 

 

 

 

70 ข้อคิด เนรมิตความสุข

ดร. บุญเสริม  บุญเจริญผล

1.      มีคนดีเป็นเพื่อน  มีงานอาชีพให้ทำ มีความดีให้ปลื้มปิติ และ มีสุขภาพดี เท่านั้นก็สุขมากแล้ว
2.      การหัวเราะก็แสดงถึงความสุข  แต่การยิ้มแสดงถึงความสุขที่ยิ่งกว่า
3.      ความสุขเกิดได้จาก : การทำใจให้รื่นเริง   เป็นมิตรกับคนและสัตว์ที่ไม่เป็นภัย  

      และ ได้คุยกับคนที่คุยถูกใจ

4.      ความทุกข์นั้น ธรรมชาติให้มา    ส่วนความสุข เราต้องสร้างเอง
5.      ทำไมไม่ทำความสุขให้เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้  หากมัวแต่รอว่าเมื่อได้เป็นได้มีอย่าง

      นั้นอย่างนี้แล้วจะมีความสุขละก็  ชาตินี้ไม่ได้พบความสุขหรอก   เพราะ

      ความสุขจะวิ่งหนีเราไปเรื่อยๆ   มองดูรอบๆตัวซิ มีอะไรบ้างที่เราจะจับมา

     เป็นความสุขได้บ้าง  ท้องฟ้า  แสงตะวัน แสงจันทร์  ดวงดาว แมว หมา  นก 

     ต้นไม้  เด็กๆที่น่ารัก  หนังสือ  ความน่าขำของภรรยาขี้บ่น  ความชุ่ยของสามี ฯลฯ  

     มีมากมายสารพัดจะเก็บเอามาเป็นความรู้สึกที่ดีๆได้ทั้งนั้น

6.      พบเห็นอะไรก็กล่าวในใจว่า    ดีจัง  น่ารักจัง          แล้วความสุขก็เกิดขึ้น  ความสุขนั้นต้องสร้างความรู้สึกขึ้นมา     มันไม่เกิดขึ้นได้เองเหมือนเห็ด
7.      สุขมาก ก็เหนื่อยน้อย
8.      ความสุขใจทำให้สุขภาพดี   สุขภาพดีก็ทำให้สุขใจ
9.      คำอวยพรก็สร้างความสุขชื่นใจให้ผู้รับพรได้  
10.  ทุกๆวัน  จงหาเวลาทำอะไร(ที่ดี)ที่ทำแล้วมีความสุข
11.  คุณธรรมความดี กับ ความสุข อยู่ด้วยกัน
12.  อยากมีความสุข ก็ต้องทำให้ผู้อื่นมีความสุขด้วย   ความสุขไม่เคยเกิดจาก

       ความเห็นแก่ตัว

13.  แม้แต่สัตว์ยังรู้จักร่าเริง  แล้วคนเราจะทำใจให้หงอยเหงาเศร้าซึมอยู่ทำไม?
14.  ถ้าไม่เคยปวดร้าวใจ   ก็ไม่รู้หรอกว่า แม้ยามปกติเราก็สุขมากแล้ว
15.  ความสุขก็คือ สภาพจิตที่สงบเย็น  ไม่มีเรื่องกวนใจเป็นขยะเกิดขึ้นในห้วงความคิด
16.  กวาดขยะในความคิดออกไปให้ได้จึงจะมีความสุขได้
17.  ทำชั่วโมงนี้ให้มีความสุข
18.  คนชอบอิจฉา ไม่เคยมีความสุข
19.  ความสุขไม่ได้อยู่ที่ความมั่งคั่ง แต่อยู่ที่การรู้จักพอ
20.  ถ้ารู้จักคุณค่าของสิ่งที่เรามีเราเป็น ก็มีความสุขได้ดีกว่าคนที่ไม่รู้จักพอ
21.  ชีวิตที่เรียบง่าย  มีความสุขมากกว่า
22.  มารของความสุขอยู่ที่เราหวังความสุขมากเกินไป  ความสุขที่กำลังมีอยู่ก็เลยหายไป
23.  ความสุขมาพร้อมกับการทำความดี
24.  ความสุขอยู่ที่ลดความต้องการ หรือ ไม่ก็หาสิ่งที่ต้องการมาให้ได้   แล้วอะไรทำง่ายกว่ากันล่ะ
25.  นิสัยที่มีคุณค่ามากแต่สร้างได้ยาก คือ นิสัยรักษาใจให้เป็นสุข
26.  ความสุขไม่ได้อยู่ปลายทาง  แต่อยู่ระหว่างทาง
27.  ชีวิตนี้  ถ้าเดินได้คล่อง  กินได้อร่อย  และ  หัวเราะสนุก    ก็สุขเหลือล้นแล้ว
28.  จงนึกถึงความสุขที่ยั่งยืนยาวนาน  ยิ่งกว่าความสุขเฉพาะหน้า
29.  ถ้าวันๆเอาแต่นั่งๆนอนๆ  หรือเอาแต่หาประโยชน์ใส่ตัว ไม่ทำประโยชน์ให้ใคร  ก็อย่าถวิลหาความสุขเลย    การทำประโยชน์ให้ผู้อื่นต่างหาก เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข
30.  ความเสียใจคือความทุกข์  แต่ความดีใจไม่ใช่ความสุขหรอกนะ  แปลกจังเลย
31.  อยู่บ้าน ก็ทำใจให้สุข  อยู่ที่ทำงานก็ทำใจให้สุข  ระหว่างเดินทางก็ทำใจให้สุข   อยู่ที่ไหนที่ไหนก็ทำใจให้สุข   นั่นแหละจึงเป็นคนฉลาด
32.  คนโง่กำลังมีความทุกข์  ก็ยังนึกว่าตนเองมีความสุข  
33.  บางคนป้องกันอย่างแน่นหนาไม่ให้ความสุขเล็ดลอดเข้ามา  ด้วยการปั้นหน้าเหม็นอยู่ได้ทั้งวัน
34.  ถ้าทำอะไรตามที่อารมณ์พาไปแล้ว  ในที่สุดความสุขที่มี ก็จะพังทำลาย  ความสุขในอนาคตก็ไม่มีเกิดขึ้นได้
35.  มีความสุขแล้ว ก็แจกความสุขให้คนอื่นด้วย เหมือนดอกไม้บานสะพรั่ง  แจกความสุขให้ผู้พบเห็น
37.  ความสุขก็เหมือนนกน้อยในสวน    ถ้าไล่จับ มันจะบินหนี   ถ้ายอมเสียสละ
        เมล็ดข้าวให้มันบ้าง มันก็จะมาหาเรา
38.    ไม่เคยพบทุกข์ ก็ไม่รู้จักสุข
39. แล้วเมื่อไรเล่า ? ท่านจึงจะตัดสินใจรำพึงกับตัวเองว่า สุขจริงหนอ
40. หากสิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิต ท่านก็มีครบแล้ว  ถ้ายังแส่หามากเกินไป  ความสุขจะ
      หนีหาย  และ ความทุกข์จะบินเข้ามาแทนที่
41. ถ้าหาให้พบว่า มีคนรักหวังดีต่อเราจริงๆแม้สักคนเดียว  ก็รู้สึกว่ามีความสุข
      แล้ว
42. ความสุขเป็นผลของความดี   ความทุกข์เป็นผลของความชั่ว
43. ความสะเพร่าเง่าโง่  แม้เพียงนิดเดียว  อาจทำลายความสุขของคนได้เป็น
       ล้านคน
44. ใครที่รู้จักชื่นชมความงามระหว่างทางที่จะไปหาสิ่งสวยงาม  คนนั้นแหละ รู้
        จักวิธีหาความสุข
45. ถ้าคิดว่า เมื่อเราได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มาแล้ว จะมีความสุข   ครั้นเมื่อได้มาแล้ว ก็ไม่
        ได้มีความสุขอย่างที่คาดนักหรอก   ไม่รู้มันหายไปไหน   ความจริงก็คือ
        ความสุขไม่ใช่ปลายทาง  มันอยู่ระหว่างทาง   ฉะนั้นจงหยิบฉวยความสุข
        เสียเดี๋ยวนี้
46. จงระวัง !!  มารมันคอยชักจูงว่า สิ่งที่เรามีอยู่ไม่ใช่ความสุข  สิ่งที่ยังไม่มีนั่น
        แหละเป็นความสุข
47. ความสุขกับความทุกข์เป็นเรื่องคู่กันเหมือนปาท่องโก๋
48. เมื่อมีความสุข  ถ้าไม่รู้จักรักษา ประเดี๋ยวเดียว มันก็หายไป
49. อดทนเถิด  อย่าบ่นนักเลย   ยิ่งบ่นก็ยิ่งทุกข์     ความสุขมันกลัวคนขี้บ่นนะ
50. พระเจ้าไม่ได้ให้ความสุขเรามาหรอก   สร้างมันขึ้นเองซิ !
51. เมื่อทราบว่าคนที่เรารักมีความสุข  เราก็มีความสุขด้วย
52. คนที่ไม่รู้สึกมีความสุข เมื่อเรามีความสุข   ไม่รู้สึกทุกข์ เมื่อเรามีความทุกข์ 
       คนนั้นไม่ใช่มิตร  และ ไม่ควรคบไว้ใกล้ตัว
53. คนที่พยายามทำให้คนอื่นพ้นทุกข์และมีความสุข  จะต้องได้รับความสุขโดย
       ไม่ต้องแสวงหา
54. เมื่อมีความทุกข์ก็ต้องแก้ไข   อย่าหลอกตัวเองว่ามีความสุข
55. จงมีความสุขกับงานที่ทำ  ไม่ใช่ค่าตอบแทนที่จะได้  ยกเว้นกรณีที่ถูกเอา

       เปรียบ

56. จงนึกดูซิ   เรามีอะไรๆดีๆที่คนอื่นไม่มีตั้งมากมาย  แล้วยังไม่มีความสุขอีก
        หรือ?
57.  ความสุขไม่แอบเข้ามาสู่คนที่ไม่เปิดใจกว้าง
58.  คนเป็นหนี้ไม่มีความสุข  คนไม่มีหนี้มีความสุข
59.   ชีวิตที่ตั้งอยู่บนความประมาท  จงระวังเถิด  ไม่ช้านัก ความ
        สุขจะหายไป  ความทุกข์จะเข้ามาแทนที่
60.  ทำตัวเราให้ดีที่สุด  แล้วไม่ต้องให้ใครมาประเมินค่า  นั่นแหละ เราจะมีความ

         สุข

61.  การวิ่งหาความสุข  ก็เหมือนวิ่งหาหมวกที่สวมหัวหรือแว่นตาที่บังตาอยู่  ไม่

        มีวันพบได้หรอก

62. เมื่อมีความสุข ร้อยปีก็เหมือนวินาทีเดียว   เมื่อมีความทุกข์ วินาทีเดียวก็
        เหมือนร้อยปี
63. ยิ้มหน่อยซิ  ไม่ยิ้มจะมีความสุขได้ยังไง
64.  ความสุขย่อมไม่อยู่คงทน   ความทุกข์ก็ไม่อยู่คงทน  มันสลับกัน
65. ถ้าไม่รู้จะหาความสุขได้อย่างไร ก็ลองทำสมาธิ  เล่นและฟังดนตรี  อ่านและ
       สะสมหนังสือดีมีคุณค่า  ชื่นชมและสะสมภาพสวยงามที่ราคาถูก  ออกกำลัง
       กาย  คุยกับคนดี  เที่ยวไปในที่อยากไป  และอยู่เงียบๆในธรรมชาติสวยงาม 
       เท่านั้นก็สุขพอแล้ว  
66. ความสงบเย็นในใจ  เป็นความสุขที่ไม่มีสุขใดเปรียบได้
67. จงให้เวลาตัวเองสักวัน  ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องยุ่งเรื่องของคนอื่น ใช้เวลาเป็น
       ของตัวเองให้เต็มที่ ทำในสิ่งที่อยากทำ ที่ไม่ใช่ความชั่ว
68.    หาที่สงบ  นั่งดื่มน้ำชา  เขียนเรื่องที่ดีมีประโยชน์  ง่วงก็หลับไป  เป็นความสุขที่ไม่เหนื่อย ไม่เสียเงิน
69.    หาของที่ชำรุดและซ่อมได้ไม่ยาก  เช่น หนังสือชำรุด  เอามานั่งซ่อมให้ดี  ทำให้เพลิดเพลิน   มีความสุขดี 
70.    นั่งเฝ้าจิตใจที่ฟุ้งซ่าน ดูว่ามันเป็นของเราหรือ  ถ้าเห็นว่าไม่ใช่ของเรา  ต่อไปก็อย่ารับเอาเป็นของเรา   แล้วเราก็จะมีความสุข



ความสุขทุกนาที

          ใครๆก็อยากมีความสุข และ ความสุขก็เป็นเรื่องที่หาง่ายอยู่ใกล้ตัว ไม่ต้องไปแสวงหาที่อื่น   แต่น่าเสียดายที่ธรรมชาติมันปิดบังเราไว้  ทำให้เกือบทุกคนมองไม่เห็น  วิ่งไปหาความสุขไกลตัว แต่ก็ไม่ได้พบความสุขจริงๆเลย
          ที่เราหาความสุขไม่พบ พบแต่ความทุกข์ ก็เพราะเรามีศัตรูอยู่ภายใน  คอยปิดบังใจเราไว้ ทำให้ดับความทุกข์ไม่ได้   ฉะนั้นขอให้เรารู้จักศัตรูที่ทำให้เรามีความทุกข์  โดยทำความเข้าใจเรื่องกลไกทางจิตใจของเราเสียก่อน  เมื่อเข้าใจกลไกทางจิตใจแล้ว ก็เข้าใจวิธีจัดการกำจัดความทุกข์ออกไป  ส่วนใครจะรักษาศัตรูความสุขเอาไว้คู่ชีวิต ก็ตามใจ เป็นกรรมของคนนั้นที่จะต้องลงนรกทั้งเป็น
                                       
สุภาษิตโบราณแทบทุกชาติทุกภาษา กล่าวว่า ศัตรูที่น่ากลัวที่สุด คือ คนที่อยู่ใกล้ตัวนั่นเอง หมายความว่า หากเขาคิคไม่ดีกับเรา เขาจะทำลายเราได้มากมาย เพราะว่าเราไว้ใจเขามาก และ เขารู้เรื่องของเราดีกว่าใครๆที่อยู่ไกลตัว    ผมขอเติมลงไปด้วยว่า ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดยิ่งกว่านั้น อยู่ในใจของเราเอง  แต่โชคดีสำหรับเราที่ศัตรูนี้กำจัดออกง่ายมาก  เพียงแต่เราเข้าใจวิธีการทำงานของมัน และ ตั้งใจกำจัดให้เด็ดขาดเสียที

กลไกทางจิตใจของมนุษย์
ความคิดหรือจิตใจเรา มีองค์ประกอบอยู่สี่อย่างทำงานร่วมกันเป็นทีมที่แข็งแรงมีประสิทธิภาพมาก  เพื่อให้เข้าใจง่าย ขอสมมุติให้องค์ประกอบทั้งสี่เป็นคนสี่คนอยู่ในใจเรา  ได้แก่
·       นายอารมณ์ ชอบ-ชัง หรือ รู้สึกสุข-รู้สึกทุกข์  (ศาสนาพุทธเรียกว่า เวทนา)
·       นายจำ   (ศาสนาพุทธเรียกว่า สัญญา)
·       นายแต่งเรื่อง  (ศาสนาพุทธเรียกว่า สังขาร)
·       นายรู้ (ศาสนาพุทธเรียกว่า วิญญาณ)

1. นายอารมณ์ชอบ-ชัง หรือ รู้สึกสุข-รู้สึกทุกข์  ชื่อก็บอกอยู่แล้ว 
- เขามีหน้าที่รู้สึกว่า มีความสุข คือ ชอบใจ 
- รู้สึกว่า มีความทุกข์ คือ ชัง ไม่ชอบ
- บางทีก็เฉยๆ ไม่มีอารมณ์ ไม่ชอบไม่ชัง
2. นายจำ  วันๆได้พบเห็นอะไร ได้รู้สึกอย่างไร ก็จำเอาไว้  บางทีก็จำไม่ได้ เพราะไม่ได้สนใจ  ข้อมูลความรู้สึกนึกคิดและเรื่องที่รับรู้มาจะถูกบันทึกจำไว้มากตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน
3. นายแต่งเรื่อง  เขาทำหน้าที่แต่งเรื่องอยู่เกือบตลอดเวลา ทั้งเวลาเราตื่นและหลับ  นายแต่งเรื่องขยันมากจริงๆ  ไม่ค่อยได้พักผ่อน  จะพักได้ก็ตอนเจ้าของจิตใจตื่นตัวรู้สึกตัวขึ้นมารับหน้าที่ต่อ ไม่ใจลอย  เขาก็หายไปสักเดี๋ยวเดียว  พอเจ้าของใจเผลอ เขาก็แต่งเรื่องอีก  เหมือนลูกๆแอบเล่นเกมตอนแม่เผลอ อย่างนั้นเลย   ลักษณะเรื่องที่แต่งมีทั้งเรื่องจริง เรื่องโกหกพกลม เรื่องเศร้าน้ำตาไหล เรื่องขำขันหัวเราะได้สนุก  เรื่องสนุกชื่นใจ   นายแต่งเรื่องคนนี้เป็นนักโกหกและประสงค์ร้ายอย่างโหดเหี้ยมต่อเจ้าของจิตใจ  ถ้าหลุดออกมาจากมันได้  อย่าให้มันเป็นนาย เราก็จะลดความทุกข์ทางใจลงได้  ความทุกข์ลดได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับ เราหนีมันออกมาได้ไกลแค่ไหน  ถ้าหนีได้ไกล เราก็มีความทุกข์น้อย  ถ้าหนีได้พ้นเลย จนมันไม่กล้าแต่งเรื่องอีกเลย เราก็หมดทุกข์



เป็นทาสมันอยู่นานแล้ว

4. นายรับรู้   นายรับรู้นี้มีความสามารถสูงมาก ถ้าเขาออกมาปฏิบัติหน้าที่  ก็มีประโยชน์ต่อชีวิตมาก     แต่ส่วนมาก การรับรู้นี้ ก็รับรู้เฉยๆ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ  มิหนำซ้ำยังถูกนายแต่งเรื่องลากเข้าไปเป็นบริวาร ร่วมวงชิมรสชาติเรื่องที่แต่งขึ้นมาอีกด้วย   เหมือนคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุมีโจรลักของอยู่ นายรับรู้นี้ก็ยืนดู ก็รู้ว่าเขาขโมยของกัน  เท่านั้นยังไม่พอ ยังเข้าไปร่วมวงช่วยเขาขนของให้โจรเสียอีก   

กลไกการทำงานของจิตใจ
นายแต่งเรื่องเป็นผู้มีบทบาทที่สุดของการทำงานของจิตใจ   เขาแทบจะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้เลย  เขาลากนายจำเข้ามาร่วมงาน ให้คายข้อมูลออกมามาเป็นข้อมูลวัตถุดิบเพื่อใช้แต่งเรื่อง  นักแต่งเรื่องต้องมีข้อมูลอยู่บ้าง  ข้อมูลนิดเดียว ก็แต่งเรื่องโกหกได้มากมาย
เพื่อให้เรื่องมีรสชาติน้ำตาไหลหรือโกรธเกรี้ยวหรือสดชื่น  นายแต่งเรื่องก็ไปลากเอานายอารมณ์มาใส่อารมณ์เข้าไปในเรื่องที่เขาแต่งขึ้นมาให้สนุกเพิ่มขึ้นอีก  เหมือนใส่พริก-น้ำปลา-ข่า-ตะไคร้-ผงชูรส  ให้มีรสชาติมันอารมณ์      นายอารมณ์ช่วยใส่อารมณ์เข้าไปในเรื่องที่แต่ง
เพื่อไม่ให้มีใครขัดขวาง นายแต่งเรื่องก็ไปลากนายรับรู้เข้ามาร่วมวงด้วย  นายรับรู้ผู้โง่เขลา ก็ร่วมฟังร่วมรู้ร่วมแสดงไปกับเรื่องที่แต่ง เหมือนคนที่ติดนิยาย  ลืมตัวไม่ได้คิดว่า เรื่องที่นำเสนอจริงหรือไม่จริง 
เป็นอันว่า นายแต่งเรื่องได้ลากเอาคนบ้านใกล้เรือนเคียงทั้งสาม เข้ามาร่วมทำงานเป็นบริวารหมดแล้ว    เราผู้เป็นเจ้าของชีวิตจึงถูกจิตใจทั้งสี่ส่วนคิดกบฏ เป็นศัตรู  โดยไม่รู้ตัว
เราต้องทนทุกข์อยู่ภายใต้อำนาจของนายแต่งเรื่องพร้อมทั้งผู้ร่วมกบฏทั้งสามคน แต่ละขณะ  มันจะบังคับให้เราเสพเรื่องอะไร รสชาติเป็นอย่างไร  โกหกพกลม หลอกลวงอย่างไร ก็ต้องเห็นดีเห็นงามตามไปด้วยเป็นหนึ่งเดียวกับพวกมันไป  เราไม่รู้ว่า จิตที่อาศัยเราอยู่นี้ เป็นกบฏไปหมดแล้ว  มนุษย์ทั้งหลายเกือบทุกคน ไม่รู้เลยว่าเราอยู่กับจิตที่เป็นกบฏ  เราปล่อยให้มันลากจูงจิตใจที่ดีของเราไปร่วมเป็นกบฏได้ ซ้ำร้ายบางครั้งยังลากให้เราตัดสินใจทำเรื่องโง่ๆที่เป็นภัยกับตัวเอง  ทั้งที่โดยแท้จริงแล้ว เราไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นเลย
ขอกล่าวอีกครั้งว่า ที่ใจคิดฟุ้งซ่านสารพัดเรื่องอยู่นี้ เป็นความคิดของพวกจิตที่เป็นกบฏต่อชีวิตเรา   เราเองไม่ได้คิดอย่างนั้น 

จะปล่อยให้เหตุการณ์เป็นอย่างนี้ หรือ จะจัดการกับมันอย่างเด็ดขาด
ประเด็นอยู่ที่ว่า เราอยากปลดปล่อยใจที่แท้ของเราออกจากพวกจิตกบฏนี้หรือไม่  ถ้าบอกว่า ไม่เป็นไร เป็นธรรมชาติสร้างมาอย่างนั้น  ถ้าคิดอย่างนี้ก็แล้วไป   
แต่ถ้าอยากปลดปล่อยใจที่แท้ออกมาให้เป็นอิสระ  พ้นจากอำนาจของพวกโกหกพกลมสร้างเรื่องให้เราเป็นทุกข์ แบกทุกข์ และ ไร้สาระ ก็ต้องจัดการกับพวกกบฏอย่างเด็ดขาด แล้วมันจะไม่กล้าก่อการร้ายกับเราอีก หรือกล้าทำก็ไม่รุนแรงเท่าเดิม                                                      

          วิธีการจัดการกับพวกจิตกบฏ   ไม่ยากเลย  ถ้าคิดจะทำให้จิตใจแท้เราเป็นอิสระออกมา  ให้ทำดังนี้
·       ให้เข้าใจอย่างถูกต้องว่า ที่เราคิดฟุ้งซ่านเหลวไหล-เศร้าใจ-ดีใจ-กังวลใจ-แค้นใจอยู่นี้  จิตที่แท้ของเราเองไม่ได้คิด  เป็นผลงานของจิตส่วนที่เป็นนักแต่งเรื่องโกหกดังที่กล่าวแล้ว มันคิดปรุงแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกให้เราเชื่อมัน    ข้อนี้ต้องเข้าใจยอมรับอย่างไม่มีอะไรสงสัย  ถ้าสงสัยก็จงเฝ้าดูการทำงานของกบฏสามคนนี้ให้เข้าใจจริงๆว่ามันหลอกเรา  เราไม่ได้เป็นผู้คิด
·       ตัดสินใจให้แน่วแน่ว่า ต่อไปนี้จะทำชีวิตเราให้เป็นอิสระ ปลดปล่อยจิตใจที่แท้ออกจากความรู้สึกนึกคิดที่จอมปลอมหลอกหลอนเราอยู่ จงตัดสินใจให้เด็ดขาด  มิฉะนั้นจะไม่เกิดผลลัพธ์ขึ้นได้เลย
·       นับแต่นี้เป็นต้นไป  คอยระวังความคิดจอมปลอมที่เกิดขึ้น  เมื่อมันเกิดขึ้น ให้รู้ทันทีว่า มันมาแล้ว  สลัดมันออกทิ้งไป  ดึงจิตใจที่แท้จริงมาสู่ความรู้ตัวเต็ม เดี๋ยวนี้และที่นี่   ทันทีที่จิตแท้ของเรารู้ตัวเต็ม  พวกกบฏทั้งสาม ก็หายหัวไป เหมือนผีที่หลอกเรา พอเราตั้งสติได้ ผีก็ไม่มีแล้ว  ถ้าทำใจลอยๆ ผีมันก็มาหลอกเรา    ทันทีที่สลัดมันออกไป ให้ร้องดังๆในใจว่า “ขยะ ไม่เอา” หรือ “ปีศาจมาแล้ว ไม่เอา” แล้วดึงใจให้รู้ตัวเต็มที่  ใจจะโล่งโปร่งสบาย ไม่มีความคิดปรุงแต่งบ้าๆบอๆ   มันหมดไปเลยทันที  ถ้าไม่หมดทันที ยังมีเหลือหนืดๆอยู่  ก็ตั้งความรู้ตัวไว้ให้ชัด  จิตที่หลอนก็ต้องหมดไป  เหลืออยู่ไม่ได้

ใช้สติของเราแน่วแน่พิฆาตมันทุกวินาที ไม่มีเว้น

·       จงทำอย่างนี้ตลอดเวลาทุกวินาที  จิตใจที่แท้จริงของเราจะเป็นอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ   ความคิดปรุงแต่งหลอกหลอนให้เราทุกข์ที่มันแอบแฝงอยู่ในชีวิตเรา  จะหดหายไปเรื่อยๆ 
·       จงแน่วแน่ที่จะกำจัดสลัดความคิดจอมปลอมเจ้าเล่ห์นี้ออกไป   ความแน่วแน่จะกลายเป็นนิสัย แล้วจิตใจที่แท้จริงของเราก็เป็นอิสระมากขึ้นๆ  จนถึงหลุดสมบูรณ์ออกจากจิตที่กบฏต่อเรานี้

จิตใจที่มีความสุขได้เกิดขึ้นแล้วอย่างง่ายดาย
จิตใจที่แท้ของเราเมื่อหลุดออกจากความคิดปรุงแต่ง ก็เป็นจิตใจที่เป็นอิสระ เป็นจิตใจที่มีความสุขมาก  ดีกว่ามีทรัพย์เป็นแสนๆล้านบาท   เราจะดีใจที่รู้จักปลดปล่อยจิตใจที่แท้จริงของเราออกมาจากกองขยะ  ดีใจว่าเราทำได้แล้ว  ทำเป็นแล้ว  เหมือนกับที่เราดีใจเมื่อว่ายน้ำเป็นแล้ว
ทำเดี๋ยวนี้  ก็ได้ผลเดี๋ยวนี้ แม้ไม่มากนัก  และจะทำได้ผลมากขึ้นๆ เหมือนเราว่ายน้ำเก่งขึ้นๆเรื่อยๆ   เราก็มั่นใจยิ่งขึ้น   อย่ามัวรอชาติหน้าชาติไหนๆอยู่เลย   ทำไมต้องรอพระพุทธเจ้าในอนาคตให้เสียเวลาไปทำไม  แล้วเดี๋ยวนี้ชาตินี้ จะมัวเกียจคร้านอยู่หรือ?   ถ้าคิดผิด จงคิดใหม่เถิดนะ

ไม่มีความสุขใด เท่าความสุขที่เกิดจากจิตใจที่สงบ   ไม่เชื่อก็ขอท้าให้ลองทำดู

ที่กล่าวมานี้ ไม่มีอะไรใหม่   เป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าสอนพวกเรามาแล้ว แต่เราไม่ใส่ใจกันเลย

คุณค่าของการฝึกจิตให้พ้นจากปีศาจกบฏทางจิต
การฝึกฝนให้จิตหลุดออกมาจากวงจรปีศาจกบฏ  ทำให้ได้รับผลดีหลายประการ คือ
·       มีความสุขใจ  จิตใจโปร่งโล่งสบาย ไร้ขยะความคิด
·       สุขภาพดีขึ้น  สุขภาพขึ้นอยู่กับจิตใจ
·       บุคลิกดี  หน้าสดใส หน้าไม่เหม็นบูดอมทุกข์
·       เป็นที่เกรงใจของคนทั้งหลาย (แม้ไม่ทุกคน)
·       รอดพ้นจากการตัดสินใจผิดพลาด
·       ทุเลาจากโชคร้าย
·       มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นในชีวิตเรื่อยๆ
·       มีความภูมิใจ มั่นใจในชีวิต
·       มีความรู้ทางวิชาการลึกซึ้งยิ่งกว่าธรรมดา
·       คนใกล้ชิดพลอยมีความสุข
·       มีนิสัยเสียสละ ชอบช่วยเหลือคนทั้งหลาย
·       เป็นการเตรียมชีวิตหน้าที่ดีที่สุด

ความรู้เพิ่มเติม
          ตามคำสอนของศาสนาพุทธ  ชีวิตคนประกอบด้วยองค์ประกอบใหญ่ๆห้าส่วน เรียกว่า ขันธ์ห้า คือ
·       ร่างกาย  เรียกว่า รูป
·       จิตใจส่วนที่รู้สึกชอบ-ชัง  เรียกว่า เวทนา
·       จิตใจส่วนที่จดจำ เรียกว่า สัญญา
·       จิตใจส่วนที่แต่งเรื่องโกหกฟุ้งซ่าน  เรียกว่า สังขาร (ในที่นี้  สังขารไม่ได้แปลว่า ร่างกาย   รูป คือ ร่างกาย)
·       จิตใจส่วนที่รับรู้  เป็นจิตใจที่แท้จริงของเรา เรียกว่า วิญญาณ

โปรดทำความเข้าใจกับคำศัพท์เหล่านี้ด้วย  อย่าแปลเอาเองตามความเคยชินที่ได้ยินมาผิดๆ

ขออวยพรให้ท่านสำเร็จในการสร้างความสุขทุกนาที

สำหรับท่านที่ต้องการหาความรู้ทางจิตใจให้สูงขึ้นอีก  ขอแนะนำให้ทำสมาธิเป็นประจำ   ขอแนะนำวิธีการฝึกสมาธิให้ตนเอง ที่ได้ผลดีมาก  คือ สามารถทำให้ความทุกข์ลดลง  จนถึงดับได้เด็ดขาด (หากทำจริงจัง)   












สมาธิพุทธ
หนทางเรียนรู้และเข้าใจสภาวะของจิตใจ

โดย บุญเสริม  บุญเจริญผล


ความลับแห่งธรรมชาติที่ควรทราบก่อนทำสมาธิ

ความลับเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการทำสมาธิของท่าน
1. สิ่งที่เราชอบจะไม่ค่อยมีมาให้   สิ่งที่เราไม่ชอบจะมีมาอย่างบริบูรณ์
2. จิตใจมีสภาวะละเอียดอ่อน  การกระทำต่อจิตใจต้องการความละเมียดละมุน  อย่าบังคับเคี่ยวเข็ญ ไม่มีทางสำเร็จ
3. ในความคิดที่ฟุ้งซ่านของเรา (ภาษาพระเรียกว่า สังขาร ในที่นี้ไม่ได้แปลว่า ร่างกาย)  จะมีเรื่องตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
4. จิตใจของเราไม่คงทนถาวร  มันเกิดขึ้นแล้วก็หายไป   แล้วตัวตนที่ยั่งยืนของเรามีอยู่ที่ไหนล่ะ?  ไม่มีหรอก  เราไม่มีตัวตนที่ยั่งยืน  แม้แต่ใจเรายังไม่ยั่งยืนเลย  แล้วตัวตนที่แท้จริงของเราล่ะ อยู่ที่ไหน?    ด้วยความจริง เรานั้น ไม่มีอยู่ถาวรเลย (อนัตตา) แต่เราไม่ทราบความจริงนี้ จนกระทั่งเราได้สังเกตใจของเราอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วจึงทราบแน่  ผู้ใดตระหนัก ความไม่มีอยู่ถาวรนี้ได้แล้ว ก็สามารถทำลายความทุกข์ได้  เพราะว่าความไม่มีอยู่ถาวรไม่เป็นเหยื่อของความทุกข์    ความรู้สึกเป็นตัวตนของเราจริงจังขึ้นมา จะเป็นเหยื่อก้อนเด่นที่คอยรับความทุกข์อยู่อย่างภักดี
5. ความรู้สึกมีตัวตน เช่น นี่คือฉัน นั้นคือคนอื่น  ย่อมผูกมัดเราเข้าติดตรึงกับโลกนี้     ความทุกข์ และ ความเกิดอีกจะบังเกิดขึ้น (เมื่อมีฉัน)    สัจธรรมมีอยู่ว่า เรานั้นเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างและทุกชีวิตในจักรวาล   ถ้าเรารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับทุกอย่าง (ที่จริงก็เป็นอยู่แล้ว  แต่เรากลับรู้สึกแยกตัวตนออกมา)  ความทุกข์ทั้งปวงของเราก็จะสิ้นไป
6. นิพพาน อันเป็นสภาวะที่ไม่มีทุกข์ เป็นสิ่งดีที่สุดที่ทุกคนควรทำให้มีขึ้นให้ได้  อย่าได้รออยู่เลย

ความมุ่งหมายของการทำสมาธิแบบพุทธ (ไม่ใช่สมาธิทั่วไป)

1.   เพื่อให้ทราบแน่ชัดว่า ความคิดฟุ้งซ่านนั้นไม่ใช่ของเรา  มันมีพิษแห่งความทุกข์แฝงอยู่    เราควรปฏิเสธมันทุกครั้งที่(เรารู้ว่า)มันเกิดขึ้นมา
2.   เพื่อให้ทราบว่า จิตใจที่ยั่งยืนไม่มีอยู่จริง  มันเกิดขึ้น แล้วก็หายไป   ความรู้สึกว่าเรามีใจที่ยั่งยืนเป็นตัวตนอยู่ เป็นเรื่องหลอกตัวเอง ไม่จริงเลย
3.   เพื่อให้ทราบว่า จิตใจของเรา(ที่ไม่ยั่งยืนนั่นแหละ) สามารถละลายเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับทุกๆชีวิตและกับธรรมชาติ อันมีอยู่ในจักรวาล

การทำสมาธิแบบเพ่งอยู่อย่างเดียว   เป็นเพียงให้จิตใจสบายผ่อนคลาย  และ อาจเกิดความรู้สึกอิ่มเอิบ ปลื้มใจ  อยากทำอีก   แต่นั้นไม่ใช่การปลดตัวเองออกจากทุกข์   บางทีก็ทำทารุณใจให้เครียดยิ่งขึ้นไปอีก 

เทคนิคการทำสมาธิ
จะนั่ง-นอน-ยืน-เดิน อย่างไร ก็ตามใจ  ขอให้สบายตัว เป็นใช้ได้   และ อย่ากล่าวท่องบริกรรมคำหรือประโยคซ้ำๆหลายครั้งนานเกินไป  กล่าวอะไรในใจเพียงแค่สองสามครั้งเท่าที่จำเป็นก็พอ  การบริกรรมซ้ำซากจะกักขังเราอยู่ในการบริกรรม ป้องกันไม่ให้เราสงบอย่างแท้จริง   และป้องกันไม่ให้เกิดปัญญาญาณที่รู้ได้เอง

ขอแนะนำขั้นตอนการทำสมาธิ ดังนี้

1.      ทำใจให้รู้ตัวเต็มที่ หยุดคิด   บัดนี้ท่านรู้ว่า ท่านอยู่ที่นี่ ทั้งร่างกายและจิตใจ
2.      หายใจเข้าและออกลึกๆ   ยิ้มทุกครั้งที่หายใจออก   เพื่อผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ
3.   กล่าวในใจว่า  เราจะสังเกตทั้ง ใจที่ฟุ้งซ่าน และ ใจที่รู้ตัว  ซึ่งมันจะสลับกันเกิดขึ้นให้เราสังเกตได้    (เมื่อใจฟุ้งซ่านเกิด  ใจที่รู้ตัวก็ไม่มี       เมื่อมีใจที่รู้ตัว ก็ไม่มีใจที่ฟุ้งซ่าน)
4.   ส่งใจออกไปให้กว้างไกลที่สุดรอบๆตัวเราทุกทิศ  แล้วตรึงใจกับความว่างนั้นเหมือนตอกตะปูติดไว้    ท่านจะรู้สึกผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด   แล้วสังเกตการหายใจที่ทรวงอก   โดยผ่อนคลายสบายๆ      การสังเกตการหายใจที่ทรวงอก จะช่วยให้หายใจลึกกว่าธรรมดา  ดีต่อสุขภาพมากๆ    
      ขณะนี้ใจของท่านรู้ตัวเต็ม ทั้งที่ทรวงอก และ ที่ความว่างกว้างไกลรอบตัว
      ท่าน
5.   แล้วแน่นอนที่สุด   ความคิดฟุ้งซ่าน(ใจที่ฟุ้งซ่าน) ก็เกิดขึ้นแทนใจที่รู้ตัว   ในขณะที่ความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ท่านจะฟุ้งฝันกลางวัน ฟุ้งไปสารพัดเรื่อง     ท่านทำอะไรไม่ได้กับใจของท่าน  เพราะว่า ใจของท่านที่รู้ตัวอยู่เมื่อกี้ ได้ตายไปแล้ว  ความคิดฟุ้งซ่าน มันเข้ามาครองชีวิตท่านแล้ว
6.   แล้วท่านก็จะกลับมารู้ตัวอีก  ใจที่รู้ตัวของท่านกลับมาทันทีที่ความคิดฟุ้งซ่านจบลง     ตอนนี้แหละท่านต้องทำงาน สำรวจกลับไป   ดูซิว่า  ความคิดฟุ้งซ่านนั้นเป็นความคิดของท่านที่ท่านคิดขึ้นมาเองเป็นส่วนของท่าน   หรือมันเกิดของมันขึ้นมาเองโดยท่านไม่ได้ปรารถนา    คำตอบที่ท่านจะตอบได้คือ .....................................................................................
7.   หลังจากท่านตระหนักแน่ใจแล้วว่า  ความคิดฟุ้งซ่านเป็นของใคร    ขอให้ท่านคาดล่วงหน้าได้เลยว่า  ใจที่รู้ตัวของท่านมันจะตายไปในไม่ช้านี้แหละ      แล้วใจที่รู้ตัวมันก็ตายไปจริงๆ
8.   ความคิดฟุ้งซ่านก็กลับมาแทนใจที่รู้ตัว  แล้วใจที่รู้ตัวก็กลับมาแทนความคิดฟุ้งซ่าน  สลับกันไปอย่างนี้   อย่ากังวลอะไรเลย  มันเป็นธรรมชาติธรรมดา
9.   เมื่อใดที่ใจรู้ตัวกลับมา    (1.)ให้ท่านตรวจสอบย้อนกลับไปว่า  ความคิดฟุ้งซ่านมันเป็นของท่านหรือเปล่า   และ (2) คาดไว้ล่วงหน้าว่า  ประเดี๋ยวใจที่รู้ตัวของท่านก็จะตายไปอีก    มีสองงานนี้แหละที่ต้องทำ
10.  ถ้าท่านจริงใจในการทำสมาธิ   สภาพใจควรจะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ   จนเมื่อความคิดฟุ้งซ่านหมดไป หรือเกิดขึ้นน้อย ใจของท่านจะสงบเย็น      ขอให้ท่านสังเกตสภาพใจตอนสงบเย็นนี้ ใจท่านไม่สามารถแยกตัวออกจากสิ่งรอบๆตัวได้เลย    ท่านมิได้เดียวดายอยู่ผู้เดียวแล้ว  ใจของท่านได้ละลายเข้าไปในจักรวาล        ถ้าในสภาวะปกติในชีวิตประจำวัน ท่านรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง  ท่านก็หมดทุกข์   ท่านจะไม่รู้สึกแยกใจจากคนทั้งหลายหรือสัตว์ทั้งหลาย  ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งทุกชีวิต   เป็นอันว่า งานสำคัญเพื่อชีวิตของท่านได้สำเร็จลงแล้ว

การปฏิบัติใจในชีวิตประจำวัน
ในชีวิตปกติแต่ละวัน  ท่านมีงาน 3 อย่าง ที่ต้องทำตลอดเวลาทุกวินาที
1.  พยายามรักษาใจให้รู้ตัวเต็มอยู่เสมอ  ต้องพยายาม  แม้ไม่ได้ตลอด  ไม่ว่าทำอะไร ก็ต้องรักษาความรู้ตัวเต็มไว้ให้ได้
2.   ปฏิเสธความคิดฟุ้งซ่าน  อย่ารับเอา อย่าเชื่อ  ไล่มันไป  เพราะว่ามันมีพิษ
3.   ละลายใจของท่านเข้ากับทุกชีวิต
                               
ขอให้ท่านมีความสุขโดยปราศจากทุกข์เจือปน    โชคดีนะ

..............................................